เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้ลงพื้นที่เกาะกูด จ.ตราด มี 2 วัตถุประสงค์ คือ 1.ไปตรวจเยี่ยมกำลังพลของกองทัพเรือ และสอบถามเรื่องราวต่างๆ จากคนที่ดูแลทางทะเล และทางบก กับฝ่ายที่เป็นข้าราชการ ฝ่ายปกครอง สบายใจได้ว่าทางกองปฏิบัติการชายแดนบริเวณมีความแข็งแรง เข้มแข็ง
ยืนยันว่าจะปกป้องดินแดนบริเวณเกาะกูด ไม่ยอมเสียผืนแผ่นดินแม้แต่ตารางนิ้วเดียว จากการสอบถามความสัมพันธ์ของนายทหารที่ดูแลของทั้ง 2 ประเทศ มีความสัมพันธ์ที่ดี และฝ่ายนั้นยอมรับแล้วว่าพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ของไทย และ 2.เรื่องของเอ็มโอยู ปี 2544 ที่จะคุยกัน ไม่มีเรื่องเกี่ยวกับดินแดน เป็นเรื่องของการดำเนินการในเรื่องที่ยังไม่เข้าใจกันหรือยังไม่มีข้อสรุปร่วมกัน โดยจะเป็นกรอบที่จะหารือร่วมกันต่อไป
ที่เกาะกูด จ.ตราด นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.) พร้อมด้วย น.ส.ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการ มท. นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัด มท.และ น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการ มท.เดินทางลงพื้นที่เกาะกูด จ.ตราด โดยจุดแรกเดินทางมายังชุมชนบ้านคลองมาด เป็นพื้นที่ติดทะเล และทำการประมง และพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
โดยนายอนุทิน กล่าวว่า เกาะกูดเป็นของไทย ส่วนปัญหาการแบ่งผลประโยชน์พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเกาะกูด บางครั้งคนไม่เข้าใจ ต้องการทำให้เป็นประเด็น เอาเรื่องดินแดนตรงนี้เข้ามาซึ่งไม่ใช่ เกาะกูดหากพูดกันตรงๆ อยู่ในสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ส่วนนี้เป็นของไทย ต้องขอฝากเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ให้สร้างความมั่นใจกับประชาชนในพื้นที่
“ไม่ต้องกังวล รัฐบาลนี้ขอให้ความมั่นใจ เราไม่มีวันยอมไม่ว่ารัฐบาลนี้ หรือรัฐบาลไหน ไม่มีทางที่จะยอมเสียดินแดน อย่าว่าแต่เกาะทั้งเกาะเลย ตารางนิ้วเดียวก็เสียไม่ได้” นายอนุทินกล่าว
นายอนุทิน กล่าวภายหลังเดินทางต่อมายังศาลาประชาคมเกาะกูด จ.ตราด ว่า วันนี้ต้องมาที่เกาะกูดให้เห็นกับตาว่าที่มีกระแสข่าวเอ็มโอยู 44 เรื่องการอ้างพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลต่างๆ ระหว่างไทยกับกัมพูชานั้น อาจทำให้เกิดความสับสนถึงขั้นไม่สบายใจ จึงต้องเรียนให้ทราบว่าอย่าไปเปลืองพื้นที่สมอง และพื้นที่อารมณ์ กับข้อสงสัยที่ว่าเกาะกูดเป็นของใคร เพราะเป็นของไทยมากว่า 100 ปีแล้ว
“เอ็มโอยู 44 ไม่ใช่สัญญาว่าคุณจะขุดออกไปกี่กิโลเมตร หรือจะขุดร่วมกันหรือไม่ ยังไม่ถึงจุดนั้น ตอนนี้เพียงแต่จะหาความเห็นร่วมกันก่อนว่าแต่ละพื้นที่ แต่ละประเทศ ครอบครองเท่าไหร่ในทางทะเล ผมขอย้ำเรื่องนี้ ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องของดินแดน เกาะกูดจึงเป็นดินแดนของไทย เมื่อได้ข้อตกลงร่วมกันตามเอ็มโอยูเมื่อใด ก็จะสร้างสนธิสัญญาพัฒนาร่วมกัน จึงมีขั้นตอนอีกมากกว่าจะถึงจุดนั้น หากถึงที่สุดแล้วตกลงกันไม่ได้ เห็นไม่ตรงกัน ก็ยกเลิกกันไป”นายอนุทิน กล่าว
แหล่งข่าวจากสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) กล่าวว่า ความคืบหน้ากรณี เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ที่ผ่านมา สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญมีเผยแพร่เอกสารการพิจารณาคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 โดยนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 กล่าวอ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตร (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรค พท. (ผู้ถูกร้องที่ 2) ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้มีหนังสือแจ้งอัยการสูงสุด
เพื่อขอทราบว่าได้ดำเนินการตามคำร้องของผู้ร้องไปแล้วอย่างไร และรวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงใด โดยให้จัดส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ ทั้งนี้ เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ อสส.ได้ลงนามตอบถ้อยคำต่อศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทราบแต่เพียงว่าเป็นรายละเอียดในการสอบถ้อยคำ ทั้งทางฝั่งผู้ร้อง และผู้ถูกร้อง โดยในส่วนผู้ถูกร้อง ทราบว่าไม่ได้มีการสอบถ้อยคำนายทักษิณ
เมื่อถามว่า ทางอัยการสูงสุดได้ทำความเห็นส่งไปด้วยหรือไม่ว่าเรื่องนี้ควรส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ หรือควรสั่งยุติเรื่อง แหล่งข่าวระบุว่า รายละเอียดส่วนนี้ไม่ทราบแน่ชัด ทราบเเต่เพียงว่า มีการส่งบันทึกสอบถ้อยคำผู้ร้อง และผู้ถูกร้องไปด้วย เมื่อถามว่าหากครั้งนี้ยังไม่ได้ส่งความเห็น
สุดท้ายเเล้วหลังจากนี้ อสส.จะต้องพิจารณาทำความเห็นเเจ้งไปยังศาลรัฐธรรมนูญอีกหรือไม่ เเหล่งข่าวระบุว่า กรณีเช่นนี้ ถ้าไม่มีการถามความเห็นมา ก็จะไม่ส่งไป การที่ศาลรัฐธรรมนูญถามมา เป็นการถามมาเพื่อให้ครบขั้นตอนว่าได้ยื่นเรื่องมาที่ อสส.แล้วหรือไม่
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : อสส.ส่งคำชี้แจง ตอบศาล รธน.คดี ‘ทักษิณ-เพื่อไทย’ ล้มล้างการปกครอง
